อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกกำลังโคม่า เพราะอยู่ดีๆ มาเจอโรคอุบัติใหม่โควิด-19 ที่ทำให้เกือบทุกประเทศต้องล็อกดาวน์ห้ามเข้า-ออก สายการบินทั่วโลกหยุดบิน การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงัก โรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่ง สินค้าของที่ระลึก ยันร้านกาแฟตามแหล่งท่องเที่ยวไม่มีนักท่องเที่ยวอุดหนุนพากันเจ๊งระนาว
ปี 2562 มีนักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกประมาณ 1,460 ล้านคน แต่ปี 2563 นี้ องค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization) คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกจะลดลง 60-80% จากการปิดสนามบิน ปิดพรมแดน จากการจำกัดการเข้า-ออกของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ประเทศไทยจากปี 2557-2562 สามารถประคองตัวมาได้หลังการรัฐประหารและทหารยังครองอำนาจมาถึงปัจจุบันก็เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ปี 2562 มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคน นำเงินเข้าประเทศ 1.93 ล้านล้านบาท พอช่วยให้เงินหมุนเวียนจากโรงแรมระดับ 5 ดาว จนถึงเกสต์เฮาส์ถนนข้าวสาร มีการช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าเลิศหรูกลางเมือง จนถึงร้านค้าย่านสำเพ็ง ประตูน้ำ ลงถึงหมู่บ้าน โดยรายได้นี้ได้กระจายทั่วทุกภาคของประเทศ จากเชียงใหม่ กรุงเทพฯ จนถึงภูเก็ต
แต่โควิด-19 ที่มาแบบตั้งรับไม่ทันและคร่าชีวิตชาวโลกไปแล้วเกือบ 8 แสนคน จากยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลกเฉียด 20 ล้านคน มีผลในการทำลายล้างรุนแรงที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องพังทลายในพริบตา
ส่งผลให้ถูกมองว่าแม้ไทยจะเป็นแชมป์โลกเรื่องป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เพราะระบบเศรษฐกิจไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนวันนี้หล่นไปอยู่ท้ายขบวนของชาติอาเซียนแล้ว
ที่ผ่านมา รัฐบาลเน้นปริมาณมากเป็นหลัก โดยเชื่อว่ายิ่งมาเยอะยิ่งจ่ายเยอะ จึงโหมประโคมเมืองไทยเพื่อกวาดต้อนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทุกภูมิภาค ทุกระดับ เน้นบริการรวดเร็ว ประทับใจ กระทรวงการต่างประเทศให้วีซ่าง่าย มาถึงสนามบินหรือด่านชายแดนก็เข้าประเทศง่าย ค่าใช้จ่ายก็แสนถูก นักท่องเที่ยวจึงแห่แหนมามืดฟ้ามัวดิน เฉพาะชาวจีนมาปีที่แล้วเกือบ 11 ล้านคน
เอาแค่ จ.ภูเก็ต ฉายา “ไข่มุกอันดามัน” ปี 2562 มีนักท่องเที่ยวไทยและเทศไปเยือนมากถึง 14 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ 10 ล้านคน ทำให้เงินสะพัดทั่วเกาะ 4.7 แสนล้านบาท มียอดห้องพักทั่วเกาะมากถึง 9.6 หมื่นห้อง
แต่ภูเก็ตวันนี้กลายสภาพเป็นเมืองร้าง เพราะช่วงติดโควิด-19 ต้องปิดเกาะ นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นศูนย์ รายได้เป็นศูนย์ พนักงาน ลูกจ้าง แรงงาน ตกงานไม่มีจะกิน ต้องอพยพกลับบ้าน วันนี้ต้องกลับมาทำแคมเปญ “ภูเก็ตเด็ดทั้งเกาะ” เพื่อดึงดูดไทยเที่ยวไทย
เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ที่รัฐบาลต้องกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพราะรู้ว่าอีกนานกว่าจะเปิดรับต่างชาติได้
ช่วงนี้มีเวลาว่างกันเยอะน่าจะนั่งทบทวนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวบ้านเรากันใหม่ ไหนๆ ปีนี้จนถึงปีหน้าจะมาน้อยอยู่แล้ว ควรจะเลิกเน้นปริมาณ ใช้โอกาสนี้มาเคาะจำนวนและกำหนดคุณภาพจะดีไหม นอกจากจะคัดกรองเรื่องโควิด-19 แล้ว ไทยควรจะคัดกรองระดับของนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนบ้าง ที่มุ่งหวังให้มาเที่ยวไทยจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มที่มาหายาเสพติด มาเที่ยวผู้หญิง หรือมาเข้าบ่อนเถื่อนที่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ตำรวจมองไม่เห็น
ในเมื่อประเทศเล็กๆ อย่างภูฏานยังทำได้ เริ่มจากคุมปีละ 3,000 คน เมื่อมีความต้องการมากก็ขยายเป็น 5,000 คน ปัจจุบันเพิ่มเป็นไม่เกินปีละ 2 หมื่นคน เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นจุดขายของเขา
ประเทศไทยควรจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนเท่าไรจึงจะเหมาะสม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แย้มมาแล้วว่าโควิด-19 ทำให้ต้องคิดปรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีกันใหม่ และระบุด้วยว่า ด้านการท่องเที่ยวต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เดิมใช้จำนวนนักท่องเที่ยวมากๆ (Mass Tourism) เป็นตัวชี้วัด ตอนนี้ต้องเปลี่ยนความคิดมาทำการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและคุณภาพให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยตั้งเป้าปีละ 40 ล้านคน หากจะลดลงเหลือ 20 ล้านคน แล้วจ่ายได้ใกล้เคียงของเดิมจะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าสามารถดึงดูดนักเดินทางเพื่อธุรกิจ กลุ่มผู้สูงอายุที่มาพักผ่อนในระยะยาว เวทีประชุมสัมมนาและนิทรรศการ หรือการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่พรรคภูมิใจไทยทั้งคู่น่าจะร่วมกันชงยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวใหม่ “สุขภาพบวกคุณภาพ”
ขอผลงานดีๆ ให้ประเทศสักชิ้นเถอะครับ
August 21, 2020 at 06:03AM
https://ift.tt/2QcRluG
ปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว - Businesstoday
https://ift.tt/2VxIbuS
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ปรับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว - Businesstoday"
Post a Comment